พระเครื่องหลวงปู่ทวดปี2497
พระหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปี 2497 เนื้อว่าน พิมพ์พระรอด
พระหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปี 2497 เนื้อว่าน พิมพ์ใหญ่ A
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจก่อน ว่า “การที่จะดูว่าพระแท้หรือเก๊ ” นั้น
เราต้องรู้ก่อนว่า
พระที่เราต้องการจะพิจารณานั้นเขาใช้วัสดุอะไรบ้างที่นำมาสร้างเป็นพระฯ
เราทุกคนก็ทราบมาแล้วว่า “พระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ปี ๒๔๙๗” เขาเอาว่าน ๑๐๘
อย่างพร้อมทั้งดินกากยายักษ์มาตำมาบดแล้วมาเคล้ารวมเป็นองค์พระฯ
ตัวผมเองหลังจากงมและหลงทางอยู่หลายปี อาศัยว่า ไม่เคยขี้เหนียวในการหาความรู้
ได้ซื้อตำราไว้มากมาย พร้อมทั้งได้เสียเงินจ้างเขาถ่ายรูปพระหลวงพ่อทวด
เนื้อว่านที่ผ่านมือตัวเองไปทุกองค์ อ่านหนังสือที่ตัวเองซื้อไว้
ก็ไม่มีหนังสือเล่มใดเลยที่เขียนให้ความกระจ่างแจ้งว่าเขาดูพระฯแท้กันอย่างไร
มีแต่ลงรูปพระฯให้ดูกันเอาเอง ดูรูปพระฯแล้วดูเล่าอยู่หลายปี ก็ยังมองไม่ออก
ถามเซียนๆก็บอกว่าองค์นี้แท้ องค์นั้นเก๊ โดยไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงแท้ทำไมถึงเก๊
ถามใครก็ให้ความกระจ่างไม่ได้ ดังนั้นตัวผมเอง ก็มามองตัวเอง
หลังจากถามตัวเองก็ได้ข้อสรุปมาว่า “ถ้าเรายังเป็นเช่นนี้อยู่อีก
ก็คงเล่นพระฯไม่ก้าวหน้าแน่ๆ” เล่นพระฯแบบนี้ ก็เหมือนให้คนอื่นจูงจมูก
เขาว่าแท้หรือเก๊ก็ขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด หากยังอยู่แบบนี้อยู่อีกเปรียบเสมือน
ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เล่นพระฯแบบตามก้นคนอื่นตลอดเวลาแน่ๆ เพราะฉะนั้นอย่ากระนั้นเลย
เราต้องมาหาวิธีใหม่ที่ทำให้เรามีข้อสรุปและมีเหตุผลสามารถอธิบายได้ว่าพระแท้ๆเป็นอย่างไร
หลังจากมาพิจารณาแล้ว ไม่มีวิธีไหนเลยที่จะดีไปกว่า การศึกษาพระฯแบบวิทยาศาสตร์
เมื่อได้คิดเช่นนั้นก็เลยมีแนวทางที่จะศึกษาขึ้นมาทันที เลยได้คิดว่าพระหลวงพ่อทวด
เนื้อว่าน ๒๔๙๗ สร้างมาจาก ว่าน ๑๐๘ อย่างรวมกับดินกากยายักษ์
ก็เลยหยิบพระฯที่ตัวเองมีเอามาส่องดูด้วยกล้อง
และก็ได้เห็นมวลสารของพระฯว่ามีความแตกต่างจากพระฯของวัดอื่นขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นก็เลยเอารูปพระฯ เนื้อว่านที่ได้ถ่ายเก็บไว้ ซึ่งเป็นไฟล์ Digital
มาขยายดูด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์อีกอย่างซึ่งก็คือ Computer
ผมสามารถขยายดูใหญ่เท่าไหนก็ได้ ดูเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ทั้งสิ้น
ดูไปทุกองค์ที่มี ก็มาได้ข้อสรุปว่า มวลสารของพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ๒๔๙๗
ไม่ว่าจะแก่ดิน หรือแก่ว่าน มีมวลสารประกอบที่เห็นได้ชัดเจนทุกองค์
ว่าจะต้องประกอบไปด้วย เม็ดดำ เม็ดแดง(สีอิฐเผา) และเม็ดขาว
(เอาแค่บทเรียนที่หนึ่งไปก่อนดูให้ขึ้นใจ
เพราะฉะนั้นหากพระฯของท่านไม่มีส่วนประกอบนี้ก็แสดงว่าไม่ใช่ของปี ๒๔๙๗
แน่นอนครับท่าน ดูเอาเองนะครับ และไม่ต้องมาถามผม ท่านสามารถดูเองได้ครับท่าน)
มวลสารของพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ๒๔๙๗ ไม่ว่าจะแก่ดิน หรือแก่ว่าน
มีมวลสารประกอบที่เห็นได้ชัดเจนทุกองค์ ว่าจะต้องประกอบไปด้วย เม็ดดำ
เม็ดแดง(สีอิฐเผา) และเม็ดขาว (เอาแค่บทเรียนที่หนึ่งไปก่อนดูให้ขึ้นใจ
เพราะฉะนั้นหากพระฯของท่านไม่มีส่วนประกอบนี้ก็แสดงว่าไม่ใช่ของปี ๒๔๙๗
แน่นอนครับท่าน ดูเอาเองนะครับ และไม่ต้องมาถามผม
ท่านสามารถดูเองได้ครับท่าน)
บทเรียนที่สอง เม็ดแร่ที่มีมากๆอยู่ด้านหลังพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน
ปี๒๔๙๗ หรือที่มีประปรายอยู่ด้านหน้าพระฯนั้น เป็นแร่ที่ท่านคหบดี อนันต์
คณานุรักษ์ นำมาจากเหมืองของท่าน
เนื่องจากในขณะนั้นท่านประกอบธุรกิจด้านเหมืองแร่ด้วย ท่านเรียกแร่นี้ว่า
“กิมเซียว” หากพิจารณาคำว่า
“กิมเซียว” เป็นคำภาษาจีน แปลว่า ทองน้อย
หรือทองอ่อน เมื่อมาพิจารณาสีของเม็ดแร่ ก็ปรากฏว่ามีสีทองอ่อนๆ
ดังนั้นน่าจะสันนิษฐานว่า ท่านคหบดี อนันต์ คณานุรักษ์
คงจะตั้งชื่อแร่นี้เป็นภาษาจีนตามสีสันของแร่ที่ท่านเห็น เมื่อผมมาพิจารณาเม็ดแร่ที่มีในองค์พระหลวงพ่อทวด
เนื้อว่าน ๒๔๙๗ ปรากฏว่ามีสีเหลืองอ่อนๆ แบบสีของทอง หากส่องล้อแสง
เม็ดแร่ดังกล่าวจะสะท้อนแสง มองเห็นเป็นแบบสีของเหล็กโครเมียม
เม็ดแร่เมื่อโดนแสงสะท้อน ดูเหมือนโครเมียม
ขอเกริ่นนิยายให้ฟังสักเรื่องสองเรื่อง
สมัยก่อนนิยมสะสมพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่านกันมากๆ พอนักสะสมเก็บพระฯไปจนเกือบหมดแล้ว
เริ่มหาพระเนื้อว่านยากมากขึ้น ทำให้ผู้มีอาชีพซื้อ-ขายพระ หาเงินได้ลำบากมากขึ้น
ต้องกินต้องใช้ทุกวัน หากให้หาพระฯเนื้อว่านมาขาย คงจะต้องอดตายกันแน่ๆ
จึงเกิดการชักนำให้มาเล่นพระที่ยังมีมากอยู่ในตอนนั้น
ซึ่งก็คือพระฯหลังเตารีดหล่อและปั๊มซ้ำ จึงได้มาพูดว่า พระเนื้อว่านดูยาก
เก็บรักษาก็ลำบาก ทีเมื่อก่อนนำพระเนื้อว่านมาขายไม่เห็นพูดแบบนี้
แล้วพระสมเด็จฯไม่เก็บรักษายากกว่าหรือ บางก็บางกว่า ตกก็แตกหักง่ายกว่า
แล้วทำไมจึงแพงเอาแพงเอา ท่านทั้งหลายคิดถึงกรณีนี้หรือไม่
พอพระฯหลังเตารีดหล่อโบราณและพระปั๊มซ้ำสวยๆเริ่มหายากขึ้น
ก็มีการชักนำให้เล่นพระมีตำหนิให้แพงขึ้นกรณี พระฯเตารีดใหญ่ปั๊มซ้ำ แตกที่หน้า
ว่าแท้ดูง่ายเล่นราคาสูงเป็นแสนๆ
แสดงว่าที่ขายไปเมื่อก่อนพระสวยๆกลายเป็นพระดูยากขึ้นมาแล้วซิ แต่มีใครตอบผมได้บ้าง
ว่าประเทศไหนบ้างบนโลกใบกลมๆนี้
ที่คนสวยหรือคนหล่อเป็นคนที่มีเนื้องอกเนื้อเกินที่หน้าผาก
ผ่านจมูกปากคางลงมาหรือจมูกแหว่งปากแหว่ง
ไม่เห็นมีใครตอบผมได้สักคนว่ามีประเทศไหนบ้าง
มีคนสวยหรือคนหล่อที่มีลักษณะอย่างนั้นแสดงว่า
พระสวยๆไม่มีตำหนิต้องราคาสูงกว่าใช่หรือไม่
นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งหรือไม่ที่ชักนำไปในทางที่ผิด อ้อขอโทษไม่ได้ผิด
แต่เซียนบอกมาไม่หมด แล้วพวกเราก็ไม่ได้ถามนะ
ดังนั้นว่าเซียนหรือคนขายพระฯไม่ได้นะ
หากคิดย้อนกลับไปดูคำพูดสมัยก่อน กับคำพูดสมัยนี้
สะท้อนกลับเข้าหาตัวเองทั้งนั้น พูดโดยไม่ได้คิดว่าในอดีตตัวเองพูดไว้อย่างไร
ตอนนี้พูดเพื่อให้ขายพระฯที่ตัวเองต้องการขายให้ได้เท่านั้น
ลืมนึกไปว่าคำพูดนั้นจะไปหักล้างคำพูดของตนเองในอดีต
ยิ่งพูดยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง
พวกเรานักนิยมสะสมพระเครื่องฯ หากเล่นเก็บสะสมพระฯตามที่เซียนชักนำ
มีเงินร้อยล้าน หมื่นล้านก็ไม่พอให้เช่าพระฯตามที่เขาเล่าว่าหรือเขาบอกว่า
ดังนั้นผมถึงบอกว่าเล่นพระฯให้เชื่อตัวเองเป็นหลัก อย่าไปเชื่อคนขายพระหรือคนอื่น
เวลาเช่าพระฯเราเท่านั้นที่ออกเงิน
คนอื่นไม่ได้มาช่วยออกเงินให้เราด้วยแล้วเรายังจะเชื่อเขาอีกหรือ
การเล่นพระนั้นมีเสน่ห์ตรงที่รู้หรือไม่รู้ และที่ว่ารู้นั้นก็
สามารถแยกออกมาอีกว่ารู้จริงมากน้อยแค่ไหน หากเป็นคนที่กล้าถาม
ว่าพระที่เขาว่าแท้นั้นแท้แบบไหน เขาต้องบอกได้ว่าถ้าแท้นั้นมีเหตุผลอะไรที่ว่าแท้
เพราะคนดูพระฯเขาจะประมวลจากความรู้ของเขามาอย่างรอบด้านแล้ว ถึงลงความเห็นว่า
พระฯองค์นี้แท้หรือเก๊ หากอธิบายไม่ได้จะรู้ทันทีว่ารู้ไม่จริง(ตัวปลอม)
หากเก๊ก็ต้องบอกได้เหมือนกันมีเหตุผลอะไรรองรับ
ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ ว่า ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งนะครับ
ผมก็งูๆปลาๆ เพียงแค่บอกแนวคิดในการเก็บสะสมพระเครื่องฯของผมเท่านั้น
ผมเองก็โดนมาแล้วทั้งนั้นทุกรูปแบบ จึงไม่อยากให้คนอื่นโดนด้วย
อาจจะมีคนที่เก่งที่ไม่เคยโดนมาเลยก็ได้ แต่โดยส่วนมากจะโดนกันเกือบทุกคน
อย่างกรณีที่เป็นเรื่องเป็นราวกันในกรณีพระแท้-พระเก๊ในหน้ากระดานประมูลพระฯนั้น
ในกรณีนี้ทำให้ทราบทันทีและชัดเจนว่า ใครดูพระเป็นหรือไม่เป็น
สะสมพระฯไม่ใช่แค่ส่องดูอย่างเดียวครับ
ต้องศึกษาว่าเขาสร้างจำนวนเท่าไหร่ สร้างด้วยเนื้อมวลสารอะไร วิธีสร้างเป็นแบบไหน
อุปกรณ์ในการสร้างมีอะไรบ้าง เพราะทุกสิ่งที่พูดมานั้น
สามารถบอกความเป็นมาเป็นไปของพระฯที่เราส่องดูที่เขาเรียกว่าธรรมชาติพระ
นั่นก็คือเบสิค พื้นฐานในการสะสมพระเครื่อง
หากจะดูพระฯให้ขาดจริงๆแล้วเราจะต้องศึกษาว่าพระแท้เขาสร้างกันอย่างไร
มีขั้นตอนอะไรบ้าง และก็ต้องรู้ด้วยว่าเขาทำพระฯเก๊กันอย่างไร
เพื่อจะได้เปรียบเทียบและสรุปได้ว่า “พระฯแท้และเก๊ แตกต่างกันอย่างไร”
หากเราไม่รู้ทั้ง 2 แบบ แล้วเราจะบอกได้เต็มปากอย่างไรว่า เราดูพระฯเป็น
การดูพระฯ
ไม่ใช่ว่าดูแค่พระองค์นั้นแท้หรือเก๊ ต้องถามตัวเองด้วยว่า ถ้าพระฯนี้แท้
ต้องดูให้ออกว่ามีเหตุผลกี่ข้อรองรับว่าเป็นพระฯแท้ ในทำนองเดียวกันถ้าหากว่าเก๊
ต้องหาให้ได้ว่าว่าเก๊แบบไหนมีเหตุผลอะไร เป็นการเล่นพระฯอาศัยเหตุผลเป็นหลัก
นี่ก็คือการเล่นพระแบบเล่นไปคิดไปเป็นการประเทืองปัญญาทำให้เราทราบข้อมูลเพิ่มขึ้น
หากเราไม่มีอะไรใหม่ๆเราก็เล่นพระตามก้นคนอื่นตลอดชาติ
** ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ
และภาพสวยๆ จาก คุณ แพะ สงขลา ครับ
ที่มา:http://bangkoknoi25.blogspot.com/2011/08/blog-post.html